กระต่าย จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีแกนสันหลัง ชั้นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ในวงศ์ Leporidae มีลำตัวขนาดเล็ก ขนปุย หูยาว พบในหลายแห่งของโลก มีสัตว์ 7 สกุลจัดอยู่ในวงศ์ของกระต่าย
ที่พบอาศัยตามป่าทั่วไปในประเทศไทยมีชนิดเดียว คือ กระต่ายป่า
คือ
( Lepus peguensis ) ซึ่งมีขนสีน้ำตาล ใต้หางสีขาว ขุดดินเป็นโพรงอาศัย ส่วนที่นำมาเลี้ยงตามบ้าน มีหลายชนิดและหลายสี แต่ที่พบมากจะเป็นสีอ่อนเช่นสีขาว เช่น ชนิด Oryctolagus cuniculus
( Lepus peguensis ) ซึ่งมีขนสีน้ำตาล ใต้หางสีขาว ขุดดินเป็นโพรงอาศัย ส่วนที่นำมาเลี้ยงตามบ้าน มีหลายชนิดและหลายสี แต่ที่พบมากจะเป็นสีอ่อนเช่นสีขาว เช่น ชนิด Oryctolagus cuniculus
กระต่ายจัดเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
ประเภทสัตว์เลือดอุ่น ในอันดับ Lagomorpha เดิมจัดกระต่ายไว้เป็นสัตว์ฟันแทะในอันดับ
Rodentia ร่วมกับพวกหนูและกระรอก
แต่เมื่อพบว่ากระต่ายมีลักษณะหลายอย่างเป็นของตนเอง ที่แตกต่างจากพวกหนูและกระรอกมาก
โดยเฉพาะกระต่ายจะมีฟันตัดสองคู่ทางด้านหน้าของขากรรไกรบนคู่ที่สองมีลักษณะเป็นปุ่มเล็กซุกอยู่ภายในคู่หน้า
ในขณะที่หนูและกระรอกมีฟันตัดเพียงคู่เดียว กระต่ายถือกำเนิดในโลกมาเมื่อประมาณ
50
ล้านปีมาแล้ว
ในบริเวณทวีเอเชียและอเมริกาเหนือ ทั่วโลกมีจำนวนชนิดของกระต่ายรวม 58 ชนิด ในจำนวนนี้ 44 ชนิด จัดอยู่ในวงศ์กระต่ายธรรมดา
( Leporidae
) และอีก 14 ชนิด อยู่ในวงศ์กระต่ายหูสั้น ( Ochotonidae
) กระต่ายวงศ์แรกมีขาหลังที่ยาว ทำให้วิ่งได้รวดเร็ว
ใบหูยาวและหมุนไปมาได้ และมีหางสั้น
ขนฟูเป็นกระจุก ส่วนกระต่ายหูสั้นมีขาทั้งคู่หน้า และคู่หลังสั้นพอๆกัน
ใบหูสั้นเป็นมนกลม และไม่มีหางให้เห็นภายนอก ในวงศ์กระต่ายธรรมดา
ยังแบ่งออกได้เป็นกระต่ายเลี้ยง ( rabbit
) และกระต่ายป่า ( hare ) ซึ่งมีความแตกต่างกันมากในลักษณะของ
กระโหลกศีรษะ
กระต่ายเลี้ยงออกลูกในโพรงใต้ดิน
ไม่มีขน และไม่ลืมตาจนกว่าจะมีอายุได้ 10 วัน ส่วนกระต่ายป่าออกลูกบนพื้นดินในพงหญ้ารก
ลูกที่ออกมามีขนปกคลุมตัว และตาเปิดตั้งแต่วันแรกเกิด นอกจากนี้
กระต่ายป่ามีนิสัยชอบวิ่งหนีศัตรูมากกว่าจะซุกซ่อนในโพรงดังเช่นกระต่ายเลี้ยง
ที่อาศัยอยู่ตามธรรมชาติ และกระต่ายป่าชอบอยู่โดดเดี่ยว
ในขณะที่กระต่ายเลี้ยงชอบอยู่เป็นฝูง กระต่ายเลี้ยง
( European rabbit ) มีเพียงชนิดเดียว มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Orytolagus cuniculus มีถิ่นกำเนิดในคาบสมุทร ไอบีเรียและแอฟริกาตะวันตกเฉียงเหนือ ต่อมามีการนำไปเลี้ยงทั่วโลก สำหรับกระต่ายป่านั้น มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Lepus peguensis มีเขตแพร่กระจายในประเทศพม่า ไทย อินโดจีน และเกาะไหหลำ พบอาศัยอยู่ในทุ่งหญ้า และบริเวณป่าดั้งเดิมที่สภาพถูกทำลายทั่วประเทศ ลงไปทางทิศใต้ จนถึงบริเวณรอยต่อระหว่างจังหวัดประจวบคีรีขันธ์กับจังหวัดชุมพรกระต่ายอาศัยอยู่ได้ในสภาพแวดล้อมหลายแบบ ตั้งแต่บริเวณเขตหิมะในแถบอาร์กติก จนถึงทะเลทรายและป่าในเขตร้อน อาหารได้แก่ หญ้าและพืชล้มลุก รากไม้ เปลือกไม้ยืนต้น และไม้พุ่ม กระต่ายมีนิสัยกินมูลของตัวเอง โดยในเวลากลางวันจะถ่ายออกมาเป็นมูลแข็งและ ในเวลากลางคืนจะถ่ายมูลอ่อนที่มีวุ้นเคลือบ ซึ่งกระต่ายจะกินในเวลาเช้า เชื้อบักเตรีในมูลอ่อนเมื่อมาถูกกับอากาศจะสร้างวิตามินบางชนิดขึ้น วิตามินนี้จำเป็นมากต่อสุขภาพของกระต่าย หากไม่ได้กินมูลอ่อนกระต่ายจะตายภายในเวลา 3 วันกระต่ายเลี้ยงในทวีปยุโรปภาคเหนือ ผสมพันธุ์ในเดือนกุมภาพันธ์จนถึงเดือนสิงหาคม หรือเดือนกันยายน ผสมพันธุ์โดยการปฏิสนธิภายใน ออกลูกได้ 3 - 5 ครอก ครอกละ 5 - 6 ตัว สำหรับกระต่ายป่าในซีกโลกภาคเหนือ ออกลูก 2 - 4 ครอก ครอกละ 1 - 9 ตัว ในฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน แต่ในเขตร้อนกระต่ายป่าผสมพันธุ์ได้ตลอดปี ในธรรมชาติปกติกระต่ายมีอายุประมาณ 10 ปี
( European rabbit ) มีเพียงชนิดเดียว มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Orytolagus cuniculus มีถิ่นกำเนิดในคาบสมุทร ไอบีเรียและแอฟริกาตะวันตกเฉียงเหนือ ต่อมามีการนำไปเลี้ยงทั่วโลก สำหรับกระต่ายป่านั้น มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Lepus peguensis มีเขตแพร่กระจายในประเทศพม่า ไทย อินโดจีน และเกาะไหหลำ พบอาศัยอยู่ในทุ่งหญ้า และบริเวณป่าดั้งเดิมที่สภาพถูกทำลายทั่วประเทศ ลงไปทางทิศใต้ จนถึงบริเวณรอยต่อระหว่างจังหวัดประจวบคีรีขันธ์กับจังหวัดชุมพรกระต่ายอาศัยอยู่ได้ในสภาพแวดล้อมหลายแบบ ตั้งแต่บริเวณเขตหิมะในแถบอาร์กติก จนถึงทะเลทรายและป่าในเขตร้อน อาหารได้แก่ หญ้าและพืชล้มลุก รากไม้ เปลือกไม้ยืนต้น และไม้พุ่ม กระต่ายมีนิสัยกินมูลของตัวเอง โดยในเวลากลางวันจะถ่ายออกมาเป็นมูลแข็งและ ในเวลากลางคืนจะถ่ายมูลอ่อนที่มีวุ้นเคลือบ ซึ่งกระต่ายจะกินในเวลาเช้า เชื้อบักเตรีในมูลอ่อนเมื่อมาถูกกับอากาศจะสร้างวิตามินบางชนิดขึ้น วิตามินนี้จำเป็นมากต่อสุขภาพของกระต่าย หากไม่ได้กินมูลอ่อนกระต่ายจะตายภายในเวลา 3 วันกระต่ายเลี้ยงในทวีปยุโรปภาคเหนือ ผสมพันธุ์ในเดือนกุมภาพันธ์จนถึงเดือนสิงหาคม หรือเดือนกันยายน ผสมพันธุ์โดยการปฏิสนธิภายใน ออกลูกได้ 3 - 5 ครอก ครอกละ 5 - 6 ตัว สำหรับกระต่ายป่าในซีกโลกภาคเหนือ ออกลูก 2 - 4 ครอก ครอกละ 1 - 9 ตัว ในฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน แต่ในเขตร้อนกระต่ายป่าผสมพันธุ์ได้ตลอดปี ในธรรมชาติปกติกระต่ายมีอายุประมาณ 10 ปี
กระต่ายในตำนานและความเชื่อของชนชาติต่าง
ๆ
"
กระต่าย " ไม่ได้เป็นตำนานความเชื่อแต่ในแถบบ้านเรา
แต่ก็ยังเป็นสัตว์ที่มีเรื่องเล่าและตำนานอยู่ในหลายชาติ
ทั้งในแง่ลบและสร้างสรรค์แตกต่างกันไปตามพื้นที่ที่มีกระต่ายเกี่ยวข้องกับภูมิหลังที่คู่ขนานไปกับการพัฒนาของเผ่าพันธุ์
ไปดูความเชื่อของแต่ละชนชาติที่วิกิพีเดียรวบรวมไว้เกี่ยวกับกระต่ายกัน
-
แอซเท็ค มีวิหารเทพกระต่าย 400 องค์ " เซ็นต์ซอน โตต็อชติน "
(
Centzon Totochtin ) และยังมีเทพกระต่ายอีก 2 องค์ชื่อ "
โอเมต็อชตลิ " (
Ometotchtli ) เป็นตัวแทนแห่งความอุดมสมบูรณ์, การเฉลิมฉลอง และความมึนเมา
-
แอฟริกากลาง มีกระต่าย " กาลูลู " (
Kalulu ) มีบุคคลิกฉลาดแกมโกง
มีความสามารถในการต่อรอง
-
จีน กระต่ายมีความเกี่ยวพันกับดวงจันทร์
และยังเชื่อมโยงกับปีใหม่จีน กระต่ายยังเป็นหนึ่งในสัตว์
12
นักษัตริย์ใน
ปฎิทินจีน อีกทั้งเวียดนามก็ยังใช้กระต่ายแทนแมวเป็นสัญญลักษณ์ในปีนักษัตริย์ ทั้ง ๆ ที่เป็นประเทศที่ไม่ค่อยมีกระต่ายอาศัยอยู่
ปฎิทินจีน อีกทั้งเวียดนามก็ยังใช้กระต่ายแทนแมวเป็นสัญญลักษณ์ในปีนักษัตริย์ ทั้ง ๆ ที่เป็นประเทศที่ไม่ค่อยมีกระต่ายอาศัยอยู่
-
ญี่ปุ่น คนที่นี่เชื่อว่ากระต่ายอยู่บนดวงจันทร์และกำลังทำแป้งโมจิอยู่บนนั้น
ความเชื่อนี้มาจากการสังเกตเห็นเงาบนดวงจันทร์ผนวกกับจินตนาการที่มีลักษณะคล้ายกระต่ายกำลังถือสากยักษ์ตำครกกระเดื่อง
-
เกาหลี มีตำนานคล้ายกับญี่ปุ่น
ที่เห็นกระต่ายกำลังตำแป้งอยู่บนดวงจันทร์ แต่ว่ากระต่ายเหล่านั้นกำลังทำ "
ต็อก " เค้กข้าวของชาวเกาหลี
-
ตะวันออกไกล ชาวยิวบอกว่ากระต่ายหมายถึงความขี้ขลาด
รวมถึงชาวอิสราเอลที่พูดภาษาฮิบรูก็มีคำว่า " กระต่าย " อันหมายถึง
" ขี้ขลาด " เช่นเดียวกับคำว่า " ชิกเก้น " ที่แปลตรง ๆ
ว่าไก่ในภาษาอังกฤษ
-
อเมริกากลาง ชนเผ่าโอจิบวี ( Ojibwe
) ชาวอเมริกันดั้งเดิมมีนานาโบโซ
( Nanabozho
) หรือเทพกระต่ายผู้ยิ่งใหญ่
ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างโลก
-
เวียดนาม มองกระต่ายเป็นสัญญลักษณ์แห่งความไร้เดียงสาและอ่อนเยาว์
มีภาพเหล่าทวยเทพขณะกำลังไล่ล่ากระต่าย ก็เพื่อแสดงให้เห็นพละกำลังของเทพทั้งปวง
-
เกาะพอร์ทแลนด์ ในดอร์เซ็ต สหราชอาณาจักร ก่อนหน้านี้ชาวเมืองเห็นว่า
กระต่ายเป็นสัตว์โชคร้าย และการพูดคำว่า “ กระต่าย ”
จะทำให้ผู้ใหญ่ในบ้านเป็นอันตราย ดังนั้นถ้าใครจะพูดถึงกระต่ายก็จะใช้คำเลี่ยง
เช่น เจ้าหูยาว แต่ช่วง 50 ปีหลังมานี้ความเชื่อดังกล่าวก็หายไป
ผู้คนบนเกาะสามารถพูดคำว่า “ กระต่าย ” ได้อย่างเต็มปาก และ “ เจ้าหูยาว ”
ก็กลายเป็นเรื่องเล่าสืบต่อกันมา
-
ตีนกระต่าย เป็นเครื่องรางที่เชื่อว่าจะนำโชคให้แก่ผู้พกพา
ซึ่งความเชื่อนี้มีอยู่ทั่วโลก และพบหลักฐานเก่าแก่ที่สุดในยุโรปช่วง
600
ปีก่อนคริสต์ศักราช
การจำแนกสายพันธุ์
ในปัจจุบันได้มีพันธุ์กระต่ายใหม่
ๆ เกิดขึ้นมากมาย ซึ่งอาจเกิดขึ้นจาก กรณีใดกรณีหนึ่งใน 3 กรณีคือ
1. เกิดจากการกลายพันธุ์ ( Mutation ) หมายถึงมีการเปลี่ยนแปลงลักษณะทางพันธุกรรม โดยทันทีทันใด เช่น ถูกรังสี ตัวอย่าง เช่น กระต่ายพันธุ์ซาตินซึ่งเป็นกระต่ายของ อเมริกาเกิดมาจากการกลายพันธุ์ของกระต่ายพันธุ์ ฮาวาน่า , กระต่ายพันธุหูตก ( Lop – ear ) กระต่ายพันธุ์เร็กซ์ ( Rex ) ซึ่งเป็นกระต่ายพันธุ์ขนสั้น หรือกระต่ายพันธุ์แองโกล่าเป็นต้น
2. เกิดจากการรวมกัน ( Combination ) ของลักษณะที่มีอยู่ของกระต่ายตั้งแต่สองพันธุ์หรือมากกว่านั้นในกรณีนี้การเกิดอาจเกิดโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ได้
3. เกิดจากการคัดเลือก ( Selection ) ลักษณะเฉพาะเพื่อให้แตกต่างไปจากพันธุ์เดิม เช่น กระต่ายพันธุ์ เนเธอร์แลนด์ดวาร์ฟ ซึ่งเป็นกระต่ายของประเทศ เนเธอร์แลนด์ซึ่งเป็นกระต่าย ของประเทศ เนเธอร์แลนด์ เกิดจากการคัดเลือกจากกระต่ายพันธุ์โปลิช ซึ่งเป็นกระต่ายของประเทศ อังกฤษ
1. เกิดจากการกลายพันธุ์ ( Mutation ) หมายถึงมีการเปลี่ยนแปลงลักษณะทางพันธุกรรม โดยทันทีทันใด เช่น ถูกรังสี ตัวอย่าง เช่น กระต่ายพันธุ์ซาตินซึ่งเป็นกระต่ายของ อเมริกาเกิดมาจากการกลายพันธุ์ของกระต่ายพันธุ์ ฮาวาน่า , กระต่ายพันธุหูตก ( Lop – ear ) กระต่ายพันธุ์เร็กซ์ ( Rex ) ซึ่งเป็นกระต่ายพันธุ์ขนสั้น หรือกระต่ายพันธุ์แองโกล่าเป็นต้น
2. เกิดจากการรวมกัน ( Combination ) ของลักษณะที่มีอยู่ของกระต่ายตั้งแต่สองพันธุ์หรือมากกว่านั้นในกรณีนี้การเกิดอาจเกิดโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ได้
3. เกิดจากการคัดเลือก ( Selection ) ลักษณะเฉพาะเพื่อให้แตกต่างไปจากพันธุ์เดิม เช่น กระต่ายพันธุ์ เนเธอร์แลนด์ดวาร์ฟ ซึ่งเป็นกระต่ายของประเทศ เนเธอร์แลนด์ซึ่งเป็นกระต่าย ของประเทศ เนเธอร์แลนด์ เกิดจากการคัดเลือกจากกระต่ายพันธุ์โปลิช ซึ่งเป็นกระต่ายของประเทศ อังกฤษ
การจำแนกสายพันธุ์กระต่าย
( Classification of breeds )
การจัดแบ่งพันธุ์กระต่ายค่อนข้างจะทำได้ยากแต่วิธีที่กระทำอยู่
คือ
การจัดแบ่งตามขนาด
1. กระต่ายพันธุ์ขนาดใหญ่
( Large breeds )
กระต่ายที่มีขนาดใหญ่มักจะเรียกว่ากระต่ายยักษ์ ( Giant Rabbit ) กระต่ายที่มีขนาด ใหญ่โตที่สุดในโลก คือ กระต่ายพันธุ์เฟลมมิชไจแอนท์ ส่วนกระต่ายพันธุ์อื่น ๆ ได้แก่ ไจแอนท์ ชินชิลล่า พันธุ์เชคเกอร์
กระต่ายที่มีขนาดใหญ่มักจะเรียกว่ากระต่ายยักษ์ ( Giant Rabbit ) กระต่ายที่มีขนาด ใหญ่โตที่สุดในโลก คือ กระต่ายพันธุ์เฟลมมิชไจแอนท์ ส่วนกระต่ายพันธุ์อื่น ๆ ได้แก่ ไจแอนท์ ชินชิลล่า พันธุ์เชคเกอร์
2. กระต่ายพันธุ์ขนาดกลาง
( Medium breeds )
มีน้ำหนักเมื่อโตเต็มที่ประมาณ 4 - 5.5 กิโลกรัม ที่นิยมเลี้ยงได้แก่ พันธุ์นิวซีแลนไวท์ พันธุ์ ซาติน เป็นต้น
มีน้ำหนักเมื่อโตเต็มที่ประมาณ 4 - 5.5 กิโลกรัม ที่นิยมเลี้ยงได้แก่ พันธุ์นิวซีแลนไวท์ พันธุ์ ซาติน เป็นต้น
3. กระต่ายขนาดเล็กพันธุ์ขนาดเล็ก
( Small breeds )
กระต่ายที่มีขนาดเล็กนิยมเลี้ยงกันได้แก่พันธุ์แทน พันธุ์ฮาวาน่าเป็น ต้น กระต่ายเหล่านี้มีน้ำหนักประมาณ 1.8 - 3.2 กิโลกรัม
กระต่ายที่มีขนาดเล็กนิยมเลี้ยงกันได้แก่พันธุ์แทน พันธุ์ฮาวาน่าเป็น ต้น กระต่ายเหล่านี้มีน้ำหนักประมาณ 1.8 - 3.2 กิโลกรัม
การจัดแบ่งตามลักษณะขน
1. กระต่ายพันธุ์ขนปกติ ( Normal fur breed ) กระต่ายที่มีขนปกติจะมีความยาวขนประมาณ 1 นิ้ว เช่น กระต่าย พันธุ์ เฟลมมิชไจแอนท์ , กระต่ายพันธุ์ นิวซีแลนด์ไวท์
2. กระต่ายพันธุ์เร็กซ์ ( Rexbreed ) ลักษณะขนแบบนี้จะพบเฉพาะในกระต่ายพันธุ์เร็กซ์ ซึ่งมีขนาดปานกลางเท่านั้น ขนมีลักษณะสั้นตั้งตรง คล้ายกำมหยี่ ส่วนขนชั้นนอกสั้นกว่าขนชั้นใน ซึ่งมีความยาวขนประมาณ 5 / 8 นิ้ว
3. กระต่ายพันธุ์ซาติน ( Satin breed ) ขนจะประกอบไปด้วยส่วนแกนขน ( Hair Shaft ) ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางเล็กและส่วนที่หุ้มขนมีลักษณะโปร่งแสง ( Trangs – lucent ) มากกว่าขนปกติจึงทำให้ขนแบบนี้มีสีและความเป็นเงางาม
1. กระต่ายพันธุ์ขนปกติ ( Normal fur breed ) กระต่ายที่มีขนปกติจะมีความยาวขนประมาณ 1 นิ้ว เช่น กระต่าย พันธุ์ เฟลมมิชไจแอนท์ , กระต่ายพันธุ์ นิวซีแลนด์ไวท์
2. กระต่ายพันธุ์เร็กซ์ ( Rexbreed ) ลักษณะขนแบบนี้จะพบเฉพาะในกระต่ายพันธุ์เร็กซ์ ซึ่งมีขนาดปานกลางเท่านั้น ขนมีลักษณะสั้นตั้งตรง คล้ายกำมหยี่ ส่วนขนชั้นนอกสั้นกว่าขนชั้นใน ซึ่งมีความยาวขนประมาณ 5 / 8 นิ้ว
3. กระต่ายพันธุ์ซาติน ( Satin breed ) ขนจะประกอบไปด้วยส่วนแกนขน ( Hair Shaft ) ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางเล็กและส่วนที่หุ้มขนมีลักษณะโปร่งแสง ( Trangs – lucent ) มากกว่าขนปกติจึงทำให้ขนแบบนี้มีสีและความเป็นเงางาม
การแยกเพศ
การคัดเพศในกระต่ายเล็ก
อาจจะทำได้ตั้งแต่หลังคลอด 1 ถึง 2 วัน แต่โดยทั่วไปแล้ว
เพื่อความถูกต้องและไม่ผิดพลาด ควรคัดเพศเมื่อกระต่ายมีอายุตั้งแต่
3
สัปดาห์ขึ้นไป
เนื่องจากสังเกตความแตกต่างระหว่างเพศได้ง่ายและชัดเจน
การจับกระต่ายเพื่อดูเพศ โดยใช้มือซ้ายจับบริเวณหนังตรงส่วนหลังของกระต่าย แล้วหงายท้องขึ้นให้หัวห้วยลง ส่วนก้นหันเข้าหาตัวเอง ลักษณะเช่นนี้ช่องอวัยวะเพศจะอยู่ติดกับช่องทวารหนัก ใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ของมือขวา กดลงในแนวตั้งฉากกับส่วนท้อง โดยนิ้วชี้อยู่เหนืออวัยวะเพศ นิ้วหัวแม่มืออยู่ตรงช่องทวารหนัก เมื่อกดลงจะเห็นลักษณะได้ชัดเจน น้ำหนักแรงกดมีส่วนสำคัญมาก ต้องกดแรงพอที่จะให้อวัยวะเพศโผล่ขึ้นเหนือช่องท้อง
การจับกระต่ายเพื่อดูเพศ โดยใช้มือซ้ายจับบริเวณหนังตรงส่วนหลังของกระต่าย แล้วหงายท้องขึ้นให้หัวห้วยลง ส่วนก้นหันเข้าหาตัวเอง ลักษณะเช่นนี้ช่องอวัยวะเพศจะอยู่ติดกับช่องทวารหนัก ใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ของมือขวา กดลงในแนวตั้งฉากกับส่วนท้อง โดยนิ้วชี้อยู่เหนืออวัยวะเพศ นิ้วหัวแม่มืออยู่ตรงช่องทวารหนัก เมื่อกดลงจะเห็นลักษณะได้ชัดเจน น้ำหนักแรงกดมีส่วนสำคัญมาก ต้องกดแรงพอที่จะให้อวัยวะเพศโผล่ขึ้นเหนือช่องท้อง
ลักษณะอวัยวะเพศเมีย เมื่อมองจากด้านบนจะมีลักษณะยาวรี เป็นรูปตัววีตั้งทำมุม 45 องศากับส่วนท้อง ไม่มีรูที่ปลายอวัยวะเพศ เมื่อมองจากด้านข้างโดยมองจากส่วนหางผ่านช่องทวารหนักไปที่อวัยวะเพศจะเห็น เส้นรอยแยกของอวัยวะเพศเมีย จากปลายยอดของอวัยวะเพศจรดช่องทวารหนัก
ลักษณะอวัยวะเพศผู้
เมื่อมองจากด้านบน จะมีลักษณะนูนกลม เป็นท่อ มีรูที่ปลายอวัยวะเพศ
เมื่อมองจากด้านข้าง จะเป็นท่อกลมตั้งฉากกับส่วนท้อง
10 สายพันธุ์ยอดนิยม
1.
มินิเร็กซ์
(
Mini Rex )
มินิเร็กซ์ เป็นกระต่ายขนาดเล็ก ขนนุ่มเหมือนกำมะหยี่ เป็นกระต่ายที่อารมณ์ดี เหมาะสำหรับเป็นสัตว์เลี้ยง ผู้เลี้ยงไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการตัดแต่งขน เพียงแค่ใช้ฝ่ามือลูบหลัง ขนที่ตายก็จะหลุดออกไป
มินิเร็กซ์ เป็นกระต่ายขนาดเล็ก ขนนุ่มเหมือนกำมะหยี่ เป็นกระต่ายที่อารมณ์ดี เหมาะสำหรับเป็นสัตว์เลี้ยง ผู้เลี้ยงไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการตัดแต่งขน เพียงแค่ใช้ฝ่ามือลูบหลัง ขนที่ตายก็จะหลุดออกไป
2.
เนเธอร์แลนด์ดวอร์ฟ
(
Netherland Dwarf )
เนเธอร์แลนด์ดวอร์ฟ หรือเรียกสั้นๆว่าดอร์ฟ พันธุ์นี้มีหูสั้น หัวกลมเป็นรูปแอปเปิ้ล ขนาดตัวกะทัดรัด และมีสีที่หลากหลายมาก แม้แต่เนเธอร์แลนด์ดวอร์ฟสามสี ( calico ) ก็มี หากใครต้องการกระต่ายประเภทสวยงามและคาดเดาได้ พันธุ์นี้แหละที่เหมาะสม
เนเธอร์แลนด์ดวอร์ฟ หรือเรียกสั้นๆว่าดอร์ฟ พันธุ์นี้มีหูสั้น หัวกลมเป็นรูปแอปเปิ้ล ขนาดตัวกะทัดรัด และมีสีที่หลากหลายมาก แม้แต่เนเธอร์แลนด์ดวอร์ฟสามสี ( calico ) ก็มี หากใครต้องการกระต่ายประเภทสวยงามและคาดเดาได้ พันธุ์นี้แหละที่เหมาะสม
3. ฮอลแลนด์ลอป ( Holland
Lop )
ฮอลแลนด์ลอปอาจโตเต็มที่ได้ถึง 1.8 กิโลกรัมเศษๆ เป็นกระต่ายขนาดกลาง รูปร่างเล็กแต่ลำตัวแน่น กลม หัวสั้น และหูตก นิสัยโดยยทั่วไปของฮอลแลนด์ ลอปคือเรียบร้อย แต่ตัวเมียมักจะค่อนข้างขี้อาย ขนยาวปานกลาง แต่ก็ต้องการการดูแลเรื่องแปรงขนเหมือนกัน
ฮอลแลนด์ลอปอาจโตเต็มที่ได้ถึง 1.8 กิโลกรัมเศษๆ เป็นกระต่ายขนาดกลาง รูปร่างเล็กแต่ลำตัวแน่น กลม หัวสั้น และหูตก นิสัยโดยยทั่วไปของฮอลแลนด์ ลอปคือเรียบร้อย แต่ตัวเมียมักจะค่อนข้างขี้อาย ขนยาวปานกลาง แต่ก็ต้องการการดูแลเรื่องแปรงขนเหมือนกัน
4.
ซาตินแองโกลา (
Satin Angora )
ซาตินแองโกลาเป็นกระต่ายที่มีขนยาวตลอดทั้งตัว, แก้ม และบางครั้งครอบคลุมถึงปลายหูด้วย ขนของกระต่ายพันธุ์นี้ส่องประกายแวววาวเหมือนผ้าซาติน จึงทำให้ได้ชื่อว่าซาติน แองโกลา ลำตัวยาวขนาดกลาง และรูปร่างกลม หัวเป็นรูปไข่ และหูตั้ง สายพันธุ์นี้อาจหนักได้ถึงประมาณ 2.7 - 4 กิโลกรัม
ซาตินแองโกลาเป็นกระต่ายที่มีขนยาวตลอดทั้งตัว, แก้ม และบางครั้งครอบคลุมถึงปลายหูด้วย ขนของกระต่ายพันธุ์นี้ส่องประกายแวววาวเหมือนผ้าซาติน จึงทำให้ได้ชื่อว่าซาติน แองโกลา ลำตัวยาวขนาดกลาง และรูปร่างกลม หัวเป็นรูปไข่ และหูตั้ง สายพันธุ์นี้อาจหนักได้ถึงประมาณ 2.7 - 4 กิโลกรัม
5. ดัตช์ ( Dutch )
กระต่ายพันธุ์ดัตช์ โตเต็มที่ได้ตั้งแต่ 1.3 - 2.3 กิโลกรัม มีรูปร่างที่กลม สั้น สีของกระต่ายพันธุ์ดัตช์เป็นเอกลักษณ์มาก คือจะเป็นสีหนึ่งตั้งแต่บริเวณหูลงไปถึงแก้มและอีกด้านลงไปจะเป็นสีขาวลงไปถึงอก เป็นพันธุ์ที่น่าเลี้ยง อารมณ์ดี
กระต่ายพันธุ์ดัตช์ โตเต็มที่ได้ตั้งแต่ 1.3 - 2.3 กิโลกรัม มีรูปร่างที่กลม สั้น สีของกระต่ายพันธุ์ดัตช์เป็นเอกลักษณ์มาก คือจะเป็นสีหนึ่งตั้งแต่บริเวณหูลงไปถึงแก้มและอีกด้านลงไปจะเป็นสีขาวลงไปถึงอก เป็นพันธุ์ที่น่าเลี้ยง อารมณ์ดี
6. นิวซีแลนด์ ( New
Zealand )
ชื่อของสายพันธุ์ " นิวซีแลนด์ " อาจทำให้เข้าใจผิดว่ามาจากนิวซีแลนด์ แต่จริงๆแล้วกระต่ายพันธุ์นี้มีต้นกำเนิดจากอเมริกา ปกติน้ำหนักตัวสูงถึง 5 กิโลกรัม กระต่ายพันธุ์นิวซีนแลนด์ดั้งเดิมจะมีขนสีขาว แต่ตอนหลังสีขนเริ่มมีหลากหลายขึ้นเนื่องจากมีการผสมข้ามสายพันธุ์กับกระต่ายพันธุ์อื่นๆ ผู้เลี้ยงพันธุ์นี้ต้องเตรียมอาหารไว้เยอะๆเนื่องจากนิวซีนแลนด์ต้องกินอาหารเยอะ เพราะมีขนาดตัวที่ใหญ่นั่นเอง
ชื่อของสายพันธุ์ " นิวซีแลนด์ " อาจทำให้เข้าใจผิดว่ามาจากนิวซีแลนด์ แต่จริงๆแล้วกระต่ายพันธุ์นี้มีต้นกำเนิดจากอเมริกา ปกติน้ำหนักตัวสูงถึง 5 กิโลกรัม กระต่ายพันธุ์นิวซีนแลนด์ดั้งเดิมจะมีขนสีขาว แต่ตอนหลังสีขนเริ่มมีหลากหลายขึ้นเนื่องจากมีการผสมข้ามสายพันธุ์กับกระต่ายพันธุ์อื่นๆ ผู้เลี้ยงพันธุ์นี้ต้องเตรียมอาหารไว้เยอะๆเนื่องจากนิวซีนแลนด์ต้องกินอาหารเยอะ เพราะมีขนาดตัวที่ใหญ่นั่นเอง
7. เร็กซ์ ( Rex )
เร็กซ์เป็นกระต่ายขนาดใหญ่ น้ำหนักระหว่าง 3 - 4.5 กิโลกรัม หากใครต้องการกระต่ายตัวใหญ่ ขนนุ่มเหมือนซาตินไว้กอด พันธุ์นี้แหละที่เหมาะสม แต่กระต่ายตัวผู้มีแนวโน้มจะค่อนข้างก้าวร้าวหากไม่ได้ทำหมัน
เร็กซ์เป็นกระต่ายขนาดใหญ่ น้ำหนักระหว่าง 3 - 4.5 กิโลกรัม หากใครต้องการกระต่ายตัวใหญ่ ขนนุ่มเหมือนซาตินไว้กอด พันธุ์นี้แหละที่เหมาะสม แต่กระต่ายตัวผู้มีแนวโน้มจะค่อนข้างก้าวร้าวหากไม่ได้ทำหมัน
8. มินิลอป ( Mini Lop )
มินิลอปโตเต็มที่อาจหนักถึง 2.7 กิโลกรัม รูปร่างขนาดกลาง โดยรวมเป็นพันธุ์ที่น่ารัก แต่ถ้าเทียบกับพันธุ์อื่น ๆ จะกระตือรือร้อนน้อยกว่า ผู้เลี้ยงต้องหาวิธีกระตุ้นหลากหลายกว่าจะได้เห็นพันธุ์นี้แค่ส่ายหาง และต้องเตรียมอุปกรณ์ไว้แปรงขนเนื่องจากพันธุ์นี้จะผลัดขนค่อนข้างเยอะ
มินิลอปโตเต็มที่อาจหนักถึง 2.7 กิโลกรัม รูปร่างขนาดกลาง โดยรวมเป็นพันธุ์ที่น่ารัก แต่ถ้าเทียบกับพันธุ์อื่น ๆ จะกระตือรือร้อนน้อยกว่า ผู้เลี้ยงต้องหาวิธีกระตุ้นหลากหลายกว่าจะได้เห็นพันธุ์นี้แค่ส่ายหาง และต้องเตรียมอุปกรณ์ไว้แปรงขนเนื่องจากพันธุ์นี้จะผลัดขนค่อนข้างเยอะ
9. เจอร์ซี วูลลี ( Jersey
Wooly )
เจอร์ซี วูลลีเป็นกระต่ายพันธุ์ที่น่ารักมาก น้ำหนักโตเต็มที่คือ 1.3 กิโลกรัม มีขนหนาฟู และนิสัยเรียบร้อยมาก จึงเหมาะที่จะเป็นกระต่ายที่เลี้ยงในบ้าน แต่กระต่ายพันธุ์นี้ต้องการการแปรงขนอย่างน้อยเดือนละหนึ่งครั้ง และถี่ขึ้นเวลากระต่ายโตขึ้นและมีการผลัดขน
เจอร์ซี วูลลีเป็นกระต่ายพันธุ์ที่น่ารักมาก น้ำหนักโตเต็มที่คือ 1.3 กิโลกรัม มีขนหนาฟู และนิสัยเรียบร้อยมาก จึงเหมาะที่จะเป็นกระต่ายที่เลี้ยงในบ้าน แต่กระต่ายพันธุ์นี้ต้องการการแปรงขนอย่างน้อยเดือนละหนึ่งครั้ง และถี่ขึ้นเวลากระต่ายโตขึ้นและมีการผลัดขน
10. ฟลอริดาไวท์ ( Florida
White )
ฟลอริดาไวท์เป็นกระต่ายขนาดกลาง ลำตัวกลม สั้น หัวกลม
และหูตั้ง และเหมือนกับชื่อสายพันธุ์ จะมีสีขาวอย่างเดียวและมีตาสีชมพู
ฟลอริดาไวท์จะค่อนข้างเชื่องหากได้รับการฝึกให้คุ้นเคยกับคนตั้งแต่เด็ก
และอาจจะต้องมีการทำหมันเพื่อควบคุมพฤติกรรมให้เรียบร้อย
การดูแลกระต่าย
การดูแลกระต่ายไม่ใช่เรื่องยาก
แต่เป็นงานที่ต้องทำเป็นกิจวัตร ทุกวัน ทุกสัปดาห์ และทุกเดือน
การเลี้ยงกระต่ายนั้นสำคัญที่ทุก ๆ สิ่ง ต้องสดและสะอาด เราอาจจัดแบ่งลักษณะงานที่ต้องทำให้กระต่ายไว้เพื่อง่ายต่อการปฏิบัติ
ดังนี้
ทุกวัน
- ตรวจสอบสุขภาพกระต่ายประจำวัน สังเกตุการนั่ง เดิน ยืน ตรวจเล็บ สุขภาพขน และสุขภาพหู
- ปล่อยกระต่ายวิ่งเล่น เราอาจกั้นพื้นที่บางส่วนไว้ให้กระต่ายได้ออกกำลังกายในช่วงที่เราทำความสะอาดกรงของกระต่ายในตอนเช้า-เย็น ( แล้วแต่ความสะดวกของผู้เลี้ยง )
- เก็บเศษผักสด ผลไม้เก่าที่กระต่ายทานไม่หมดทิ้ง เพราะเศษอาหารที่เหลือตกค้างนี้ หากกระต่ายทานเข้าไปอีกอาจทำให้เกิดอาการท้องเสียได้
- เก็บเศษอาหารเม็ดเก่าทิ้ง เพราะอาหารเม็ดที่เหลือเหล่านี้จะเกิดการบวมชื้น กระต่ายจะไม่ทานส่วนที่เหลือ ดังนั้นในแต่ละมื้ออาหารควรกำหนดปริมาณอาหารเม็ดให้พอดีสำหรับ 1 มื้อเสมอ
- เก็บเศษหญ้าสด / หญ้าแห้งทิ้ง เศษหญ้าเหล่าเมื่อทิ้งไว้ในกรงอาจเกิดการขึ้นราหรือปนเปื้อนกับมูลหรือฉี่กระต่าย
- ทำความสะอาดถาดรองกรง
- เทน้ำเก่าในขวดน้ำทิ้ง แล้วเติมน้ำสะอาดให้เต็ม
- ให้อาหารเม็ด หญ้าสด / หญ้าแห้ง หรือผักสด / ผลไม้ โดยกะปริมาณอาหารให้กระต่ายทานหมดใน 1 มื้อ
- ตรวจสอบสุขภาพกระต่ายประจำวัน สังเกตุการนั่ง เดิน ยืน ตรวจเล็บ สุขภาพขน และสุขภาพหู
- ปล่อยกระต่ายวิ่งเล่น เราอาจกั้นพื้นที่บางส่วนไว้ให้กระต่ายได้ออกกำลังกายในช่วงที่เราทำความสะอาดกรงของกระต่ายในตอนเช้า-เย็น ( แล้วแต่ความสะดวกของผู้เลี้ยง )
- เก็บเศษผักสด ผลไม้เก่าที่กระต่ายทานไม่หมดทิ้ง เพราะเศษอาหารที่เหลือตกค้างนี้ หากกระต่ายทานเข้าไปอีกอาจทำให้เกิดอาการท้องเสียได้
- เก็บเศษอาหารเม็ดเก่าทิ้ง เพราะอาหารเม็ดที่เหลือเหล่านี้จะเกิดการบวมชื้น กระต่ายจะไม่ทานส่วนที่เหลือ ดังนั้นในแต่ละมื้ออาหารควรกำหนดปริมาณอาหารเม็ดให้พอดีสำหรับ 1 มื้อเสมอ
- เก็บเศษหญ้าสด / หญ้าแห้งทิ้ง เศษหญ้าเหล่าเมื่อทิ้งไว้ในกรงอาจเกิดการขึ้นราหรือปนเปื้อนกับมูลหรือฉี่กระต่าย
- ทำความสะอาดถาดรองกรง
- เทน้ำเก่าในขวดน้ำทิ้ง แล้วเติมน้ำสะอาดให้เต็ม
- ให้อาหารเม็ด หญ้าสด / หญ้าแห้ง หรือผักสด / ผลไม้ โดยกะปริมาณอาหารให้กระต่ายทานหมดใน 1 มื้อ
ทุกสัปดาห์
- ล้างทำความสะอาดขวดน้ำ กระถางใส่อาหาร ที่แขวนหญ้า ด้วยน้ำสบู่อ่อน ๆ หรือน้ำยาฆ่าเชื้อผสมเจือจาง แล้วล้างออก ด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง ต้องมั่นใจว่าไม่มีสารตกค้างหลงเหลือก่อนนำกลับไปใช้เลี้ยงกระต่ายอีกครั้ง
- ทำความสะอาดถาดรองกรง และตากแดดให้แห้งสนิท
- ล้างทำความสะอาดขวดน้ำ กระถางใส่อาหาร ที่แขวนหญ้า ด้วยน้ำสบู่อ่อน ๆ หรือน้ำยาฆ่าเชื้อผสมเจือจาง แล้วล้างออก ด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง ต้องมั่นใจว่าไม่มีสารตกค้างหลงเหลือก่อนนำกลับไปใช้เลี้ยงกระต่ายอีกครั้ง
- ทำความสะอาดถาดรองกรง และตากแดดให้แห้งสนิท
ทุกเดือน
- ทำความสะอาดกรง ถาดรองกรง พื้นใต้กรง ผนังกำแพง ในบริเวณที่ใช้เลี้ยงกระต่าย ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อผสมเจือจาง แล้วล้างออกให้สะอาดก่อนนำกระต่ายกลับเข้ากรง
- ทำความสะอาดอุปกรณ์ที่ใช้เลี้ยงกระต่ายทั้งหมด รวมทั้งของเล่นของกระต่าย
- ทำความสะอาดกรง ถาดรองกรง พื้นใต้กรง ผนังกำแพง ในบริเวณที่ใช้เลี้ยงกระต่าย ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อผสมเจือจาง แล้วล้างออกให้สะอาดก่อนนำกระต่ายกลับเข้ากรง
- ทำความสะอาดอุปกรณ์ที่ใช้เลี้ยงกระต่ายทั้งหมด รวมทั้งของเล่นของกระต่าย
อาหารของกระต่าย
หญ้า
หญ้ามีหลายชนิดที่หาง่ายได้ทั่วไป คือ
หญ้าขนสามารถจะไปตัดได้จากข้างทาง ลักษณะหญ้าขนก็คือ หญ้าที่เป็นขน ๆนอกจากหญ้าขนแล้วก็จะมีหญ้าอีกหลาย ๆ ชนิดที่มีจำหน่ายทั่วไปตามท้องตลาด เช่น หญ้า timothy หญ้าแพงโกล่า และหญ้าอัลฟาฟ่า โดยที่หญ้าแต่ละชนิดจะมีสารอาหารไม่เหมือนกัน
- หญ้าอัลฟาฟ่า จะมีโปรตีน และ
แคลเซี่ยมสูงที่สุด เหมาะสำหรับกระต่ายที่กำลังเจริญเติบโต ที่อายุไม่ถึง 1 ปี หรือกระต่ายที่กำลังอุ้มท้อง ส่วนหญ้าอื่น ๆ ก็ควรจะให้
เพราะว่า มีกากใย หรือไฟเบอร์สูง
- ส่วนหญ้าขนนั้น เราให้เป็นอาหารเสริมไว้ในกรงได้เลย ให้กระต่ายกินทุกวันได้ก็จะยิ่งดี เพื่อรักษาสมดุล์ของระบบย่อยอาหาร เพราะว่า อาหารเม็ดมีกากใยไม่มากพอ ทำให้กระต่ายอ้วน ไม่แข็งแรง การกินกากใยไม่พอ ยังทำให้ระบบย่อยอาหารมีปัญหา และเกิดอาการก้อนขนอุดตันอยู่ในท้อง หรือที่เรียกว่า Hairball ได้
- ส่วนหญ้าขนนั้น เราให้เป็นอาหารเสริมไว้ในกรงได้เลย ให้กระต่ายกินทุกวันได้ก็จะยิ่งดี เพื่อรักษาสมดุล์ของระบบย่อยอาหาร เพราะว่า อาหารเม็ดมีกากใยไม่มากพอ ทำให้กระต่ายอ้วน ไม่แข็งแรง การกินกากใยไม่พอ ยังทำให้ระบบย่อยอาหารมีปัญหา และเกิดอาการก้อนขนอุดตันอยู่ในท้อง หรือที่เรียกว่า Hairball ได้
อาหารเม็ด
อาหารเม็ดสำหรับกระต่ายมีหลายยี่ห้อค่ะ ควรจะเลือกที่อายุไม่เกิน 6 เดือน การกินอาหารเม็ดมากเกินไป จะทำให้กระต่าย อ้วน และไม่แข็งแรงค่ะ ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อกระต่ายอายุเกิน 7 เดือน เราควรจะเริ่มจำกัดอาหารเม็ด อย่าให้กินมากเกินไป เวลาเลือก อาหารเม็ดควรจะเลือกที่ มีโปรตีน และกากใยสูง และเลือกที่ไขมันไม่สูง โดยทั่วไปจะนิยมให้อาหารเม็ดวันละ 2ครั้งคือเช้าและเย็น
อาหารเม็ดสำหรับกระต่ายมีหลายยี่ห้อค่ะ ควรจะเลือกที่อายุไม่เกิน 6 เดือน การกินอาหารเม็ดมากเกินไป จะทำให้กระต่าย อ้วน และไม่แข็งแรงค่ะ ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อกระต่ายอายุเกิน 7 เดือน เราควรจะเริ่มจำกัดอาหารเม็ด อย่าให้กินมากเกินไป เวลาเลือก อาหารเม็ดควรจะเลือกที่ มีโปรตีน และกากใยสูง และเลือกที่ไขมันไม่สูง โดยทั่วไปจะนิยมให้อาหารเม็ดวันละ 2ครั้งคือเช้าและเย็น
ผักและผลไม้
เมื่อกระต่ายอายุน้อย ๆ คือ อายุต่ำกว่า 3 เดือนยังไม่ควรให้ผักผลไม้ โดยเฉพาะผักที่มีน้ำมาก เพราะจะทำให้ท้องเสีย ซึ่งภาวะท้องเสีย สำหรับกระต่ายนั้น ถือว่าอันตรายมาก เพราะว่ากระต่ายจะเสียน้ำและมีตายในเวลารวดเร็ว หลังจากกระต่ายอายุเกิน 3 เดือน เราสามารถจะเริ่มให้ผักผลไม้ได้ แต่ว่าควรจะค่อย ๆ ให้แค่น้อย ๆ ให้กระต่ายปรับตัวก่อน ผักที่กระต่ายกินได้ เช่น แครอท บร็อคเคอรี่ ผักชีฝรั่ง เป็นต้น
เมื่อกระต่ายอายุน้อย ๆ คือ อายุต่ำกว่า 3 เดือนยังไม่ควรให้ผักผลไม้ โดยเฉพาะผักที่มีน้ำมาก เพราะจะทำให้ท้องเสีย ซึ่งภาวะท้องเสีย สำหรับกระต่ายนั้น ถือว่าอันตรายมาก เพราะว่ากระต่ายจะเสียน้ำและมีตายในเวลารวดเร็ว หลังจากกระต่ายอายุเกิน 3 เดือน เราสามารถจะเริ่มให้ผักผลไม้ได้ แต่ว่าควรจะค่อย ๆ ให้แค่น้อย ๆ ให้กระต่ายปรับตัวก่อน ผักที่กระต่ายกินได้ เช่น แครอท บร็อคเคอรี่ ผักชีฝรั่ง เป็นต้น
ขนม
ขนมหรือที่ฝรั่งนิยมเรียกว่า Treat สามารถให้ได้ แต่ว่าไม่ควรให้บ่อยเกินไป ไม่ใช่ว่าให้กินขนมเป็นอาหารหลัก แบบนี้ไม่ถูก
ขนมหรือที่ฝรั่งนิยมเรียกว่า Treat สามารถให้ได้ แต่ว่าไม่ควรให้บ่อยเกินไป ไม่ใช่ว่าให้กินขนมเป็นอาหารหลัก แบบนี้ไม่ถูก
น้ำ
น้ำ เป็นสิ่งจำเป็น เราต้องมีน้ำสะอาดไว้ในกรงให้กระต่ายกินได้ตลอดเวลา นอกจากนี้ เราควรจะใช้กระบอกน้ำ เพื่อสุขภาพอนามัยที่ดีแก่กระต่าย
น้ำ เป็นสิ่งจำเป็น เราต้องมีน้ำสะอาดไว้ในกรงให้กระต่ายกินได้ตลอดเวลา นอกจากนี้ เราควรจะใช้กระบอกน้ำ เพื่อสุขภาพอนามัยที่ดีแก่กระต่าย
วิธีจับกระต่าย
กระต่ายเป็นสัตว์ที่ตกใจง่าย
ดังนั้นการจับกระต่ายจะต้องทำด้วยความนุ่มนวลและ ถูกวิธี เพื่อความปลอดภัยของตัวกระต่ายและตัวผู้จับด้วย
ไม่ควรจับกระต่ายโดยการหิ้วหู เพราะจะทำให้กระต่ายเจ็บปวด และอาจเป็นสาเหตุทำให้กระต่ายหูตกได้
การจับกระต่ายที่ถูกวิธีมีดังนี้
1. ลูกกระต่าย ใช้มือที่ถนัดจับหนังบริเวณสะโพกให้มั่นคง แล้วยกขึ้นตรง ๆ
2. กระต่ายขนาดกลาง ใช้มือขวา ( มือที่ถนัด ) จับหนังเหนือไหล่ให้มั่นคง อาจรวบหูมาด้วยก็ได้ มือซ้ายรองใต้ก้น ให้ด้านหน้าของกระต่ายหันออกนอกตัวผู้จับ
3. กระต่ายใหญ่ ใช้มือขวาจับแบบวิธีที่ 2 แล้วยกอ้อมขึ้นมาทางช้ายมือใช้แขนช้าย หนีบให้แนบชิดลำตัวโดยใช้มือซ้ายช่วยประคองก้น ให้หน้ากระต่ายหันไปทางหลังของผู้จับ และขากระต่ายชี้ออกนอกตัวผู้จับ
การตัดเล็บให้กระต่าย
ให้ค่อย
ๆ เอามือลูบขนของกระต่ายขึ้นไปจากเล็บ หากตรงปลายเล็บมีขนบัง
เพื่อให้เห็นได้ชัดยิ่งขึ้นว่า ควรตัดตรงตำแหน่งไหน
เพราะกระต่ายบางทีแล้วขนของกระต่ายจะมาปกคลุมตรงเล็บเท้า ทำให้เห็นยาก
พยายามมองหาเส้นที่แบ่งระหว่างสีขาวและสีชมพูของเล็บ ( มองเทียบกับนิ้วมือของตัวเราเอง ตอนตัดเล็บมือก็ได้ เทียบของคนประกอบ จะเข้าใจง่ายยิ่งขึ้น ) ต้องตัดต่ำกว่าเส้นสีชมพูนี้ลงมา ( อย่าตัดติดเส้นสีชมพู ให้ห่างออกมานิดนึง ไม่งั้นจะติดเนื้อเล็บเกินไป และเจ็บได้ ) ซึ่งส่วนสีขาวเป็นส่วนของเล็บที่ได้ตัดแล้วไม่เจ็บ อย่าไปตัดโดนส่วนที่เป็นเส้นสีชมพูนี้ เพราะว่าจะเป็นการตัดเข้าเนื้อ ซึ่งมีเส้นเลือดหล่อเลี้ยงอยู่ ทำให้เลือดไหลและกระต่ายจะเจ็บ
พยายามมองหาเส้นที่แบ่งระหว่างสีขาวและสีชมพูของเล็บ ( มองเทียบกับนิ้วมือของตัวเราเอง ตอนตัดเล็บมือก็ได้ เทียบของคนประกอบ จะเข้าใจง่ายยิ่งขึ้น ) ต้องตัดต่ำกว่าเส้นสีชมพูนี้ลงมา ( อย่าตัดติดเส้นสีชมพู ให้ห่างออกมานิดนึง ไม่งั้นจะติดเนื้อเล็บเกินไป และเจ็บได้ ) ซึ่งส่วนสีขาวเป็นส่วนของเล็บที่ได้ตัดแล้วไม่เจ็บ อย่าไปตัดโดนส่วนที่เป็นเส้นสีชมพูนี้ เพราะว่าจะเป็นการตัดเข้าเนื้อ ซึ่งมีเส้นเลือดหล่อเลี้ยงอยู่ ทำให้เลือดไหลและกระต่ายจะเจ็บ
สิ่งที่ควรและไม่ควรทำในการเลี้ยงกระต่าย
สิ่งที่ควรทำในการเลี้ยงกระต่าย
1. ดูแลและสังเกตเป็นประจำ ถ้าเกิดความผิดปกติเพียงเล็กน้อยต้องรีบพาไปพบสัตวแพทย์
2. ให้สัมผัสอย่างเบามือ
3. ทำความความสะอาดบริเวณกรงอย่างสม่ำเสมอ
4. ควรให้อาหารที่เหมาะสม
5. ควรให้ถ่ายพยาธิหรือตรวจสุขภาพอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
1. ดูแลและสังเกตเป็นประจำ ถ้าเกิดความผิดปกติเพียงเล็กน้อยต้องรีบพาไปพบสัตวแพทย์
2. ให้สัมผัสอย่างเบามือ
3. ทำความความสะอาดบริเวณกรงอย่างสม่ำเสมอ
4. ควรให้อาหารที่เหมาะสม
5. ควรให้ถ่ายพยาธิหรือตรวจสุขภาพอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
สิ่งที่ไม่ควรทำในการเลี้ยงกระต่าย
1. อย่าหิ้วหูกระต่ายเด็ดขาด
2. อย่าให้อาหารประเภทขนมที่เป็นแป้ง คาร์โบไฮเดรต เพราะจะเกิดผลเสียกับเขา
3. อย่าเลี้ยงกระต่ายเป็นแฟชั่น ให้เลี้ยงเพราะว่าอยากจะเลี้ยง
4. อย่าอาบน้ำให้กระต่ายบ่อยเกินไป ประมาณ 3 - 4 เดือน / ครั้งก็พอ
5. หากที่บ้านมีแมว ไม่ควรเอาห้องน้ำแมวที่มีสารดับกลิ่นมาใช้กับกระต่าย ควรใช้ขี้เลื่อยหรือหนังสือพิมพ์แทน
โรคของกระต่าย
1.
พาสเจอร์เรลโลลิส (
Pasturellosis ) เป็นโรคที่พบบ่อยและเป็นปัญหาที่สำคัญในกระต่าย
โรคนี้มีสาเหตุจากเชื้อแบคทีเรีย ชื่อ พาสเจอเรลลา มัลโตซิดา ( Pasturella
multocida ) ซี่งทำให้กระต่ายป่วยและมีอาการแตกต่างกันตามอวัยวะที่ติดเชื้อดังนี้
-
หวัด กระต่ายจะจามบ่อย ๆ มีน้ำมูกไหลออกจากช่องจมูก หายใจไม่สะดวก
จมูกและเท้าหน้าจะเปียกชุ่มและมีน้ำมูกตลอดเนื่องจากกระต่ายใช้เท้าหน้าเช็ดจมูก
รักษาโดย ให้ยากิน เช่น เพนนิวิลลิน วี (
Penicillin V ) หรือถ้าไม่แน่ใจให้รีบนำไปปรึกษาสัตวแพทย์
-
ปอดบวม มักเกิดจากการเป็นหวัดแล้วลุกลามเข้าสู่ปอด
กระต่ายจะหายใจลำบาก หอบและอาจหายใจด้วยท้อง ริมฝีปากและเปลือกตาจะมีสีคล้ำ
ในระยะแรกจะมีไข้สูง เบื่ออาหารและนอนหมอบนิ่ง
ลูกกระต่ายถ้าเป็นโรคนี้ส่วนใหญ่จะตาย สำหรับกระต่ายใหญ่จะมีโอกาสรอดเพียง 75 % ดังนั้นถ้าพบอาการเช่นนี้
ควรรีบนำกระต่ายไปพบสัตวแพทย์ทันที
-
ตาอักเสบ มักเกิดหลังจากที่กระต่ายเป็นหวัด
เนื่องจากกระต่ายชอบใช้เท้าหน้าเช็ดจมูก ทำให้เชื้อโรคจากจมูกเข้าสู่ตาได้ง่าย
อาการเริ่มแรก คือหนังตาและตาขาวอักเสบ บวมแดง บางครั้งมีหนอง
ส่วนแก้วตาจะอักเสบและขุ่นขาว ถ้าไม่รีบรักษาอาจทำให้ตาบอดได้ การรักษา
ล้างตาให้สะอาดโดยใช้น้ำเกลืออ่อน ๆ ( 0.85
% ) หรือน้ำยาล้างตา
แล้วใช้ยาปฎิชีวนะในรูปแบบครีม หรือใช้ยาหยอดตาของคนทาจนกว่าจะหาย
-
อัณฑะอักเสบ เกิดจากติดเชื้อที่อัณฑะ ทำให้ลูกอัณฑะขยายใหญ่ และมีหนอง
เมื่อจับที่อัณฑะจะรู้สึกร้อนกว่าปกติ การอักเสบมักลุกลามไปที่อวัยวะเพศ
ทำให้สามารถติดต่อได้ โดยการผสมพันธุ์ การรักษามักไม่ได้ผลจึงควรคัดทิ้ง
-
มดลูกอักเสบ เกิดจากการติดเชื้อหลังคลอดลูกหรือจากการผสมพันธุ์
ผนังมดลูกจะเกิดการอักเสบ มีหนองภายในโพรงมดลูกและอาจพบหนองถูกขับออกมาทางอวัยวะเพศ
มักมีไข้สูง เมื่อคลำตรวจจะพบว่ามดลูกขยายใหญ่
การรักษาทำได้ยากมากและกระต่ายมักจะเป็นหมันจึงควรคัดทิ้ง
2. สแตฟฟิลโลคอคโคซีส (
Staphylococcosis ) โรคนี้มีสาเหตุจากเชื้อแบคทีเรียชื่อ
สแตฟฟิลโลคอคคัส ออเรียล
( Staphylococcus aureus ) ทำให้กระต่ายป่วยและมีอาการดังนี้
( Staphylococcus aureus ) ทำให้กระต่ายป่วยและมีอาการดังนี้
-
ฝีหนองใต้ผิวหนัง เกิดจากการติดเชื้อที่ผิวหนัง ทำให้เป็นหนองซึ่งมีเปลือกหุ้ม
เมื่อฝีสุกเปลือกฝีส่วนหนึ่งจะบางลงและแตกออกมีหนองไหลออกมา การรักษาต้องรอให้ฝีสุกและเจาะเอาหนองออก
ขูดเปลือกฝีด้านในให้สะอาด แล้วทาด้วยทิงเจอร์ไอโอดีน
-
เต้านมอักเสบ เต้านมจะร้อน บวมแดง มีไข้ กระต่ายตัวที่เป็นอย่างรุนแรง
เต้านมจะมีสีคล้ำ เย็น และแข็ง
ถ้าพบอาการเช่นนี้ควรตัดทิ้งหรือถ้าไม่แน่ใจควรรีบปรึกษาสัตวแพทย์
-
ข้ออักเสบ เกิดจากมีบาดแผลที่ผิวหนังบริเวณฝ่าเท้าแล้วเชื้อโรคลุกลามเข้าสู่ข้อเท้าทำให้ข้อบวมแดง
เจ็บปวด กระต่ายอาจมีไข้และมักพบบาดแผลที่ฝ่าเท้า การรักษา ทำความสะอาดแผล
แล้วทาด้วยทิงเจอร์ไอโอดีน ถ้ามีหนองในข้อจะรักษาได้ยากและอาจจำเป็นต้องตัดขาเหนือข้อที่อักเสบ
ควรป้องกันโดยการดูแลพื้นกรงอย่าให้มีส่วนแหลมคมยื่นออกมาตำเท้ากระต่าย
3. โรคบิด (
Coccidiosis
) เกิดจากเชื้อโปรโตชัวพวกไอเมอร์เรีย
ได้แก่
Eimeria
stiedac , Eirresdua , E.magna ฯลฯ การติดต่อจะเกิดจากโอโอซิส (
Oocyst ) ของเชื้อที่ปนมากับอาหารและน้ำ
-
อาการถ้าเป็นน้อยจะไม่แสดงอาการ
แต่ถ้าเป็นมากซึ่งมักพบในลูกกระต่ายจะทำให้น้ำหนักลด ท้องเสีย อาจถ่ายเป็นน้ำ
หรือมีเลือดปน และอาจทำให้ตายได้
-
การรักษา เลือกใช้ยาในกลุ่มซัลฟา ( Sulfa ) หรือแอมโปรเลียม (
Amprolium )
4. โรคพิซเชอร์ (
Tizzer 's disease ) เกิดจากเชื้อแบคทีเรียชชื่อ แบซิลลัส ฟิลลิฟอร์มิส
(
Bacillus pilliformis ) มักพบในกระต่ายที่มี
อายุ 7 - 12 สัปดาห์มากที่สุด
อายุ 7 - 12 สัปดาห์มากที่สุด
-
อาการ ท้องเสีย ถ่ายเป็นน้ำหรือเลือด
ในรายที่เกิดอย่างเฉียบพลันจะมีเลือดออก จากลำไส้ใหญ่
กระต่ายจะตายเนื่องจากเสียน้ำและเลือดมาก
-
การรักษา ให้ยาออกซี่เตตร้าชัยคลีน (
Oxytetracyclin ) ละลายน้ำให้กิน
5. โรคติดเชื้อ อี.โค.ไล (
Colibacillosis ) เกิดจากการเพิ่มจำนวนของเชื้อ E.coli
ในทางเดินอาหาร
กระต่ายจะมีอาการท้องเสีย อย่างรุนแรงและตายได้ การรักษา แก้ไขตามอาการ
อาจให้ยาปฎิชีวนะเพื่อลดจำนวนแบคทีเรียในลำไส้ ให้น้ำเกลือ ลดอาหารข้น
เพิ่มอาหารหยาบ
6. เอ็นเทอร์โรท๊อกซีเมีย (
Enterotoxemia ) เกิดจากเชื้อคลอสติเดียม
(
Clostridium spp. ) ทำให้กระต่ายท้องเสีย หรือตายอย่างเฉียบพลัน
การรักษาเช่นเดียวกับโรคติดเชื้ออีโคไล
7. ไรในหู (
ear mange or ear canker ) เกิดจากไรพวกโชรอบเตส แคนิคุไล
(
Psoroptes caniculi ) อาการจะเห็นแผ่นสีน้ำตาลคล้ายขี้หูซ้อนเป็นชั้น ๆ
ที่ด้านในของใบหู ถ้าสังเกตุดี ๆ จะพบตัวไรขนาดเล็กสีน้ำตาลจำนวนมาก
กระต่ายที่เป็นโรคนี้จะคันหู
ทำให้มันสั่นหัวและใช้เท้าเกาหู บางครั้งเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย
ทำให้มีหนองและมีกลิ่นเหม็น
-
การรักษา ทำความสะอาดด้านในของใบหู เช็ดด้วยไฮโดรเจนเปอร์ออกใชด์
( H202
) แล้วทาด้วยขี้ผึ้งกำมะถันให้ทั่ว
ควรป้องกันโดยการตรวจหูกระต่ายเป็นประจำและทำความสะอาดกรงและอุปกรณ์การเลี้ยงเสมอ
ๆ
8. ไรที่ผิวหนัง (
skin mange ) เกิดจากไรพวก
Sarcoptes
scabei , var. cuniculi , Notedes cati var. caniculi อาการผิวหนังเป็นสะเก็ดหนาและย่น ขนร่วง
พบมากที่ปลายจมูก และขอบใบหู
-
การรักษา ขูดผิวหนังให้สะเก็ดหลุดออก ทาด้วยขี้ผึ้งกำมะถัน
ถ้ายังไม่หายควรปรึกษาสัตวแพทย์ การป้องกันและควบคุม ทำเช่นเดียวกับโรคไรในหู
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น